การเจาะสำรวจดิน (Soil Boring Test) คือกระบวนการสำรวจชั้นดินในพื้นที่ก่อสร้าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติและโครงสร้างของชั้นดินในพื้นที่นั้น ๆ เพื่อให้ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการออกแบบฐานรากที่มั่นคงและปลอดภัย กระบวนการนี้ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญก่อนการก่อสร้างอาคาร ถนน สะพาน หรือโครงการโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ
1. ความสำคัญของการเจาะสำรวจดินก่อนการก่อสร้าง
การเจาะสำรวจดินมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานของโครงสร้าง เนื่องจากช่วยให้ทราบถึงคุณสมบัติของดินที่อาจส่งผลต่อความแข็งแรงของโครงการก่อสร้าง นี่คือเหตุผลหลักที่ต้องมีการเจาะสำรวจดินก่อนการเริ่มโครงการ:
- วิเคราะห์ความแข็งแรงของดิน: เพื่อออกแบบฐานรากที่เหมาะสมและรองรับน้ำหนักโครงสร้างได้อย่างปลอดภัย
- ป้องกันการทรุดตัว: การทราบถึงสภาพของชั้นดินจะช่วยลดความเสี่ยงของการทรุดตัวในอนาคต
- เพิ่มความปลอดภัยในโครงการ: การออกแบบฐานรากที่ถูกต้องจะช่วยลดโอกาสที่โครงสร้างจะเกิดความเสียหาย
- ประหยัดเวลาและต้นทุน: การวางแผนที่ดีตั้งแต่ต้นช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาระหว่างการก่อสร้าง
2. ขั้นตอนและกระบวนการเจาะสำรวจดิน (Soil Boring Test) แบบละเอียด
ขั้นตอนของการเจาะสำรวจดินจะมีหลายขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบฐานราก
- วางแผนการเจาะสำรวจดิน
- กำหนดพื้นที่และจุดที่จะทำการเจาะ
- วางแผนเกี่ยวกับจำนวนจุดและระดับความลึกที่ต้องการเจาะ
- ดำเนินการเจาะสำรวจดิน
- ใช้เครื่องเจาะเพื่อเก็บตัวอย่างดินในแต่ละระดับความลึก
- นำตัวอย่างดินขึ้นมาเพื่อวิเคราะห์ความหนาแน่นและองค์ประกอบของดิน
- จัดเก็บตัวอย่างดิน
- ตัวอย่างดินจะถูกบรรจุในภาชนะที่เหมาะสม พร้อมติดฉลากระบุข้อมูลที่ชัดเจน เช่น ความลึกและสถานที่ที่เก็บตัวอย่าง
- ทดสอบในห้องปฏิบัติการ
- นำตัวอย่างดินไปทดสอบในห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติ เช่น ความสามารถในการซึมน้ำ และความแข็งแรง
- จัดทำรายงานผล
- จัดทำรายงานวิเคราะห์โครงสร้างดิน เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบฐานรากโครงสร้าง

3. ประเภทของเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในงานเจาะสำรวจดิน
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในงานเจาะสำรวจดินมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงการ เช่น
- เครื่องเจาะแบบฉีดล้าง (Wash Boring): ใช้น้ำเป่าลงไปในชั้นดินเพื่อเก็บตัวอย่าง
- เครื่องเจาะแบบหมุน (Rotary Drill): ใช้ในการเจาะชั้นดินแข็งหรือชั้นหิน
- ตัวอย่างดิน (Soil Sample Tube): ใช้เก็บตัวอย่างดินในสภาพเดิมเพื่อนำไปทดสอบในห้องปฏิบัติการ
- อุปกรณ์ทดสอบในห้องปฏิบัติการ: เครื่องทดสอบแรงเฉือน เครื่องวัดการซึมน้ำในดิน และเครื่องทดสอบความหนาแน่น
4. งานทดสอบดินภาคสนาม
การทดสอบดินภาคสนามมักดำเนินการในสถานที่ก่อสร้าง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสภาพดินโดยตรง การทดสอบภาคสนามมีดังนี้:
- Field Density Test (FDT): ทดสอบความหนาแน่นของดินในพื้นที่
- Standard Penetration Test (SPT): การทดสอบเพื่อวัดความแข็งแรงของชั้นดินในสถานที่
- Cone Penetration Test (CPT): การเจาะเพื่อวัดแรงต้านของดินในขณะที่ดันกรวยผ่านชั้นดิน
5. งานทดสอบดินในห้องปฏิบัติการ
การทดสอบดินในห้องปฏิบัติการช่วยให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดและแม่นยำมากขึ้น งานทดสอบหลัก ได้แก่:
- การทดสอบขนาดคละ (Particle Size Analysis): วิเคราะห์ขนาดของอนุภาคดิน
- การทดสอบแรงอัดแกนเดียว (Unconfined Compression Test): ทดสอบความแข็งแรงของดินในสภาพที่ไม่มีแรงกระทำด้านข้าง
- การทดสอบแรงเฉือน (Shear Test): ทดสอบความแข็งแรงของดินเมื่อต้องรับแรงเฉือน
- การทดสอบจุดเปลี่ยนสถานภาพของมวลดิน (Atterberg Limits Test): วัดค่าการเปลี่ยนสถานะของดินระหว่างของแข็งและของเหลว
6. ค่าใช้จ่ายในการเจาะสำรวจดิน
ราคาในการเจาะสำรวจดินขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น
- จำนวนจุดที่ต้องเจาะ: หากมีการเจาะหลายจุด ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้น
- ความลึกของการเจาะ: ความลึกที่ต้องเจาะจะส่งผลต่อต้นทุนของโครงการ
- ประเภทของการทดสอบ: การทดสอบที่ซับซ้อนมากขึ้นจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
ราคาค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดจะถูกประเมินตามลักษณะของโครงการ เพื่อให้ลูกค้าทราบถึงต้นทุนโดยรวม
สรุป
การเจาะสำรวจดิน (Soil Boring Test) เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญสำหรับโครงการก่อสร้าง เพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติของชั้นดินที่มีผลต่อการออกแบบฐานราก การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ที่เหมาะสม รวมถึงการทดสอบดินทั้งในสนามและในห้องปฏิบัติการ ช่วยเพิ่มความแม่นยำของข้อมูลที่ใช้ในการออกแบบฐานราก หากต้องการให้โครงการของคุณมีความมั่นคงและปลอดภัย การเจาะสำรวจดินถือเป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม
หากคุณต้องการเจาะสำรวจดินหรือรับคำปรึกษาเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างที่ต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมธรณีเทคนิคเพื่อรับบริการที่มีมาตรฐานและความน่าเชื่อถือ